ยินดีต้อนรับ ' By Su '

ยินดีต้อนรับ " bu Su ">

หัวใจ

นกบิน

วันพฤหัสบดีที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2555

ความซื่อสัตย์

“ ความซื่อสัตย์ ( Integrity ) ” ในการทำงาน .... สำคัญไฉน
          ก่อนอื่นต้องถามตัวคุณเองก่อนว่า คุณมีความซื่อสัตย์ ( Integrity) ในการทำงานมากน้อยแค่ไหน และแน่นอนว่าคงจะไม่มีใครตอบว่าตนเองไม่มีความซื่อสัตย์ ความซื่อสัตย์จึงเป็นคุณลักษณะที่สำคัญและเป็นที่ต้องการในทุกองค์การ ซึ่งความซื่อสัตย์นอกจากจะหมายถึงการ รักษาความลับ ผลประโยชน์ และทรัพย์สินต่าง ๆ ของบริษัทแล้ว ความซื่อสัตย์ยังหมายรวมไปถึงการให้ข้อมูลที่ถูกต้องและไม่บิดเบือนจากความเป็นจริง และการปฏิบัติตามระเบียบหรือกฎของบริษัท และยังพบว่าอีกว่ามีหลายองค์การได้กำหนดความซื่อสัตย์เป็นวัฒนธรรมองค์การ (Corporate Culture) หรือคุณค่าร่วม ( Core Value) ที่เกี่ยวข้องกับความคิดความเชื่อที่อยากให้พนักงานทุกคนปฏิบัติ
          แล้วทำไมคุณจะต้องมีความซื่อสัตย์ในการทำงาน ..... ความซื่อสัตย์ในการทำงานจะส่งผลโดยตรงต่อคุณลักษณะส่วนบุคคล ( Personal Attribute) ของตัวคุณเองที่คนอื่นมองหรือรับรู้ในตัวคุณว่าเป็นคนที่มีความซื่อสัตย์หรือไม่ นอกจากนี้ยังรวมไปถึงผลต่อเนื่องไปยังหน่วยงานและองค์การของคุณเอง ทั้งนี้คุณลักษณะของความซื่อสัตย์จะมีความสำคัญและส่งผลต่อตัวคุณและต่อหน่วยงานหรือองค์การของคุณ ขอสรุปได้ดังต่อไปนี้
          1. การได้รับ ความไว้วางใจ จากหัวหน้างานของคุณ พนักงานที่มีความซื่อสัตย์ย่อมทำให้หัวหน้างานพร้อมและกล้าพอที่จะมอบหมายงานที่สำคัญหรือเป็นความลับของบริษัทให้กับคุณ เพราะหัวหน้าไว้วางใจตัวคุณเพราะรู้ว่างานที่มอบหมายให้ไปนั้นคุณต้องทำเสร็จและข้อมูลที่คุณทำนั้นมีความถูกต้องอย่างแน่นอน
          2. ความน่าเชื่อถือ ได้ของตัวคุณ คุณจะได้รับการยอมรับและการกล่าวถึงในทางที่ดีจากบุคคลรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็นหัวหน้างาน เพื่อนร่วมงาน ลูกน้อง หรือแม้กระทั่งลูกค้าของคุณเอง เช่น ยอมรับว่าคุณมีความรับผิดชอบและความตั้งใจทำงาน เนื่องจากคุณไม่เคยที่จะขาดงานหรือมาสาย รวมทั้งข้อมูลที่คุณให้นั้นมีความถูกต้องและเป็นปัจจุบันเสมอ
          3. สร้างผลงาน ( Performance) ของตัวคุณ ความซื่อสัตย์ทำให้คุณมีโอกาสทำงานใหญ่หรือสำคัญ ซึ่งอาจเป็นงานที่มีผลกระทบต่อหน่วยงานหรือองค์การ โดยคุณจะมีโอกาสแสดงฝีมือการทำงานของคุณและโอกาสนี้เองย่อมจะส่งผลต่อเนื่องไปยังผลผลการปฏิบัติงาน     ( Performance) และมูลค่าเพิ่ม ( Added Value) ของตัวคุณเอง
          4. รักษาผลประโยชน์ของหน่วยงาน/บริษัท หากคุณมีความซื่อสัตย์แล้วล่ะก็ ย่อมหมายถึงคุณไม่ได้เอาเปรียบหน่วยงานและบริษัท เนื่องจากคุณทำงานอย่างเต็มที่ ได้ปฏิบัติตามระเบียบและรักษาทรัพย์สินของบริษัท และรวมถึงคุณไม่เอาความลับของบริษัทไปเปิดเผยให้คู่แข่งรับรู้ ซึ่งหมายถึงคุณกำลังรักษาผลประโยชน์ให้กับหน่วยงานและบริษัทของคุณเอง
          มาถึงคำถามที่ว่า หากจะวัดหรือประเมินความซื่อสัตย์ได้อย่างไร เช่น หากถามว่านาย ก มีความซื่อสัตย์มากกว่านาย ข นั้น เราจะพิจารณาหรือประเมินได้จากอะไรได้บ้าง และเพื่อทำให้องค์การสามารถประเมินหรือวัดความซื่อสัตย์ได้ จึงทำให้องค์การได้กำหนดความซื่อสัตย์เป็นพฤติกรรมหรือความสามารถอย่างหนึ่ง ( Competency) ซึ่งสามารถกำหนดได้เป็นความสามารถหลัก ( Core Competency) ที่เป็นความสามารถหรือพฤติกรรมที่ใช้วัดหรือประเมินพนักงานสำหรับทุกคนและทุกตำแหน่งงาน นอกจากนี้ยังสามารถกำหนดเป็นความสามารถในงาน ( Job Competency) ได้อีกด้วย ซึ่งพฤติกรรมของความซื่อสัตย์นั้นสามารถกำหนดเป็นพฤติกรรมออกมาแยกเป็นระดับต่าง ๆ เพื่อใช้ประเมินผลและพัฒนาพนักงานได้ โดยขอยกตัวอย่างของการแบ่งพฤติกรรมความซื่อสัตย์ออกเป็น 5 ระดับ ดังต่อไปนี้
ระดับลักษณะพฤติกรรม
1 (ต่ำกว่ามาตรฐานที่กำหนดอย่างมาก) •  ให้ข้อมูลที่บิดเบือนจากความเป็นจริง เป็นเหตุให้เกิดปัญหาหรือความเข้าใจผิดได้ •  หลีกเลี่ยงการตักเตือนหรือแจ้งผู้ที่ทำผิดระเบียบหรือกฎของบริษัท •  ปฏิเสธและไม่ยอมรับความผิดพลาดที่เกิดขึ้น โดยมักจะอ้างถึงผู้อื่นอยู่เสมอ •  ละเมิดระเบียบหรือกฎของบริษัทอยู่เสมอ
2 (ต่ำกว่ามาตรฐาน ที่กำหนด) •  ดูแลและรักษาทรัพย์สินและผลประโยชน์ของบริษัทบ้างเป็นบางครั้ง •  ตักเตือนหรือแจ้งผู้ที่ทำผิดระเบียบหรือกฎของบริษัทเท่าที่จำเป็น •  ไม่ประพฤติตนตามระเบียบหรือกฎของบริษัทเป็นบางครั้ง
3 (ตามมาตรฐาน ที่กำหนด) •  รับฟังและไม่นำข้อมูลของผู้อื่นมาเปิดเผย •  ดูแลและรักษาทรัพย์สินและผลประโยชน์ของบริษัทอยู่เสมอ •  ไม่นำทรัพย์สินของบริษัทมาใช้ประโยชน์ส่วนตัว •  ประพฤติตนตามระเบียบหรือกฎของบริษัทอยู่เสมอ
4 (สูง/เกินกว่ามาตรฐานที่กำหนด) •  ไม่เปิดเผยข้อมูลของหน่วยงานที่อาจสร้างความขัดแย้งหรือปัญหาให้เกิดขึ้นได้ •  ให้ข้อมูลที่ถูกต้อง ชัดเจน และเหมาะสมกับกลุ่มคน เวลา และสถานการณ์ •  ตักเตือนสมาชิกในทีมเมื่อทำผิดระเบียบหรือกฎของบริษัท •  ยอมรับและหาทางแก้ไขความผิดพลาดที่เกิดขึ้นจากการทำงานของตนเอง
5 (สูง/เกินกว่า มาตรฐานที่กำหนดอย่างมาก) •  แจ้งผู้ที่เกี่ยวข้องเมื่อพบเห็นพนักงานในองค์กรทำผิดระเบียบหรือกฎของบริษัท •  ปลุกจิตสำนึกให้สมาชิกทั้งภายในและภายนอกหน่วยงานมีจรรยาบรรณและคุณธรรมในการทำงานและในวิชาชีพของตน •  นำทรัพย์สินของตนเองมาใช้เพื่อให้การทำงานประสพผลสำเร็จตามเป้าหมายที่กำหนด
         ดังนั้น ความซื่อสัตย์จึงเป็นพฤติกรรมหรือความสามารถด้านหนึ่งที่คุณเองไม่ควรละเลยหรือเพิกเฉย คุณควรเริ่มสำรวจตัวเองว่าคุณมีความซื่อสัตย์ในการทำงานหรือไม่ และอยู่ในพฤติกรรมระดับไหน ทั้งนี้ขอให้คุณเปิดใจพร้อมที่จะปรับเปลี่ยนตนเองให้มีความซื่อสัตย์ในการทำงาน ซึ่งคุณเองอาจลืมหรือคิดไม่ถึงว่าพฤติกรรมความซื่อสัตย์ของตัวคุณเองนั้นจะส่งผลต่อภาพลักษณ์ที่ปรากฏต่อสายตาของผู้อื่นและบุคคลรอบข้าง และจะส่งผลต่อเนื่องไปถึงผลประโยชน์ที่หน่วยงานและองค์การจะได้รับ

วันพฤหัสบดีที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2554

มงคลสูตรคำฉันท์

เรื่องย่อ เริ่มต้นกล่าวถึงมนุษย์และเทวดาได้พยายามค้นหาคำตอบว่า อะไรคือมงคล เป็นเวลานานถึง ๑๒ ปี พระอานนท์ได้เล่าให้ฟังว่าเมื่อครั้งสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับ เชตวันมหาวิหารซึ่งอนาถบิณฑิกเศรษฐีได้สร้างถวายไว้ เมืองสาวัตถี มีเทวดาองค์หนึ่งได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าในเวลาปฐมยามแล้วได้ทูลถามเรื่องมงคล พระพุทธองค์จึงตรัสตอบถึงสิ่งที่ไม่เป็นมงคล ๓๘ ประการ หลังจากรับฟังเทศนาจบ เหล่าเทวดาก็บรรลุธรรม
มงคลทั้ง ๓๘ ประการ พระพุทธเจ้าทรงแสดงเป็นคาถาบาลีเพียง ๑๐ คาถา แต่ละคาถาประกอบด้วย - ข้อ และมีคาถมสรุปตอนท้าย บท ชี้ให้เห็นเหล่าเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ถ้าปฏิบัติตามมงคลอันสูงสุด ๓๘ ประการนี้ได้ จะไม่พ่ายแพ้แก่ข้าศึกศัตรูและจะมีแต่ความเจริญรุ่งเรืองสืบไป
ลักษณะคำประพันธ์
มงคลสูตรคำฉันท์ เป็นวรรณคดีที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชนิพนธ์ขึ้นโยทรงนำคาถาบาลาที่เป็นมงคลสูตรซึ่งมีอยู่ในพระไตรปิฏกมาแปล แล้วทรงเรียบเรียงแต่งเป็นบทประพันธ์ร้อยกรองที่มีสัมผัสคล้องจอง ท่องจำง่าย และสามารถพรรณนาความได้อย่างไพเราะจับใจ โดยทรงใช้คำประพันธ์ ประเภท คือ กาพย์ฉบัง ๑๖ และอินทรวิเชียรฉันท์ ๑๑ (ดูแบบแผนการประพันธ์และฉันทลักษณ์ได้ในหน่วยการเรียนรู้ที่๑ เรื่องคำนมัสการคุณานุคุณ) โดยลงท้ายคำประพันธ์ทุกบทด้วยข้อความเดียวกันว่าข้อนี้แหละมงคล อดิเรกอุดมดีซึ่งมีที่มาจากคาถาภาษาบาลี ที่ว่า เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ
ประวัติผู้แต่ง พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ แห่งราชวงศ์จักรี ตลอดระยะเวลา ๑๕ ปีที่ครองราชย์ (.. ๒๔๕๓-๒๔๖๘) ทรงประกอบราชกรณียกิจเป็นอเนกประการ ทรงพระปรีชาสามารถทั้งด้านการทหาร การปกครอง การต่างประเทศ โยเฉพาะด้านอักษรศาสตร์ พระองค์ทรงพระราชนิพนธ์งานประพันธ์หลายอย่าง เช่น บทละคร บทความ นิทาน นิยาย สารคดี เป็นต้น และทรงใช้งานพระราชนิพนธ์เป็ฯสื่อสดงแนวพระราชดำริในเรื่องต่างๆ บทพระราชนิพนธ์หลายเรื่องที่ยังได้รับการยกย่องจากวรรณคดีสโมสรว่าเป็นยอดของวรรณคดีหรือเป็นหนังสือที่แต่งดี อาทิ หัวใจนักรบ เป็นยอดของบทละครพูดร้อยแก้ว มัทนะพาธา เป็นยอดของบทละครคำพูดฉันท์ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงได้รับการถวายพระราชสมญานามว่าสมเด็จพระมหาธีรราชเจ้าซึ่งมีความหมายว่า นักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ และในพ.. ๒๕๑๕ พระองค์ทรงยังได้รับการประกาศยกย่องจากองค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ ยูเนสโก (UNESCO) ให้ทรงเป็น ใน นักปราชญ์ที่ยิ่งใหญ่ของไทย
บทวิเคราะห์
คุณค่าด้านเนื้อหา
มงคลสูตรคำฉันท์ เป็นวรรณคดีที่มีเนื้อหาเป็นคำสอนทางพระพุทธศาสนา ว่าด้วยเรื่องของ มงคล ๓๘ ประการ ซึ่งเป็นคำสอนที่สามารถพิสูจน์ให้เห็นจริงได้ โดยเน้นที่การปฏิบัติด้วยตนเองลำดับจากง่ายไปยาก ถ้าปฏิบัติได้แล้ว จะทำให้ชีวิตมีแต่ความก้าวหน้าและผาสุก โดยไม่ต้องอาศัยปัจจัยใดๆ เนื่องจากการปฏิบัติด้วยตนเองย่อมมอบความเป็นมงคลที่แท้จริงให้แก่ชีวิต ซึ่งจะนำพาชีวิตของแต่ละคนไปในทางที่เจริญแล้ว ยังทำให้สังคมโดยรวมสงบสุขและเจริญก้าวหน้าไปด้วย
นอกจากนี้คำสอนในมงคล ๓๘ ประการยังเป็นแนวทางที่ทุกคนสามารถปฏิบัติได้ด้วยมีความสอดคล้องกับการดำเนินชีวิตในทุกวัย โดยเริ่มต้นจากระดับพื้นฐานที่สำคัญ คือ การคบคน ดังที่กล่าวว่า
(
) อวเสนา พาลานํ ปณํฑิตานญฺจ เสวนา
ปูชา ปูชะนียานํ เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ
หนึ่งคือบ่คบพาล เพราะจะพาประพฤติผิด
หนึ่งคบกะบัณฑิต เพราะจะพาประสบผล
หนึ่งกราบและบูชา อภิบูชนีย์ชน ข้อนี้แหละมงคล อดิเรกอึดมดี
คำประพันธ์บทนี้กล่าวถึงมงคลประการที่ ถึง ซึ่งเป็นข้อแนะนำเกี่ยวกับการคบคนหรือการมีปฏิสัมพันธ์กับบุคลรอบข้าง เริ่มตั้งแต่การหลีกเลี่ยงจากคนพาล การสมาคมกับคนดี และการมีสัมมาคารวะต่อบุคลที่เคารพ ซึ่งล้วนเป็นพื้นฐานที่สำคัญสำหรับทุกคน เนื่องจากการที่เราคบคนเช่นใด โอกาสที่จะทำให้เรากลายเป็นคนเช่นนั้นหรือมีพฤติกรรมที่คล้ายกัน และนอกจากการรู้จักเลือกคบคนแล้ว การมีสัมมาคารวะหรือการรู้จักเคารพต่อบุคคลที่ควรบูชาเคารพ ย่อมทำให้เราเป็นที่รักใคร่ของบุคคลทั่วไป และยังได้รับความเมตตาหรือคำแนะนำที่ดีและเป็นประโยชน์ต่อชีวิตอีกด้วย
นอกจากมงคลสูตรคำฉันท์จะมีการแปลและเรียบเรียงเนื้อความจากคาถาภาษาบาลีแล้ว พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวยังทรงอธิบายขยายความมงคลในแต่ละข้อเพิ่มเติมเพื่อให้เข้าใจความหายได้อย่างชัดเจน เช่นในคาถาที่ กล่าวถึงมงคลข้อที่ ๒๒ คือ มีความเคารพ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงอธิบายให้ชัดเจนว่า ควรมีความเคารพผู้ใด และในมงคลข้อที่ ๒๔ มีความสันโดษ ได้ทรงอธิบายเพิ่มเติมว่ามีความหายอย่างไร
() คารโว นิวาโต สนฺตุฏฐี กตญฺญุตา
กาเลน ธมฺมสฺสวนํ เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ
เคารพ ผู้ควร จะประณตและนอบศีร์
อีหนึ่งมิได้มี จะกระด้างและจองหอง ยินดี ของตน บ่มิโลภทะยานปอง
อีกรู้คณาของ นรผู้ประคองตน ฟังธรรมะโดยกา- ละเจริญคุณานนท์
ข้อนี้แหละมงคล อดิเรกอุดมดี
สำหรับมงคลในข้ออื่นๆ เป็นข้อแนะนำที่สอดคล้องไปตามวัยและวุฒิภาวะ ตั้งแต่การปฏิบัติตนที่เป็นมงคลเมื่อยู่ในช่วงวัยเรียน เมื่อมีหน้าที่การทำงาน เมื่อมีครอบครัว เรื่อยไปจนถึงวัยที่ควรละจาการกิจกรรมทั้งหลาย เพื่อแสวงหาสัจธรรมในบั้นปลายของชีวิต จนสุดท้ายสามารถละกิเลสอันเป็นเหตุแห่งความทุกข์ทั้งปวงเพื่อมุ่งสู่ความสุขที่แท้จริง
คุณค่าด้านวรรณศิลป์
เนื้อความในมงคลสูตรคำฉันท์ แม้จะมีที่มาจากคาถาภาษาบาลีและมีคำศัพท์ในทางพระพุทธศาสนา แต่ก็เป็นคำที่เข้าใจความหายได้ไม่ยาก เช่น โสตถิ ภควันต์ เป็นต้น นอกจากนี้พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวยังทรงสามารถถ่ายทอดและเรียบเรียงเนื้อความเป็นภาษาไทยได้อย่างเรียบง่าย แต่มีความไพเราะ และสามารถสื่อความหมายได้อย่างชัดเจน ดังเช่น
ครั้งนั้นแลเทวดา องค์หนึ่งมหา-นุภาพมหิทธิ์ฤทธี
ล่วงประถมยามราตรี เธอเปล่งรัศมี
อันเรืองระยับจับเนตร
แสงกายเธอปลั่งยังเขต สวนแห่งเจ้าเชต สว่างกระจ่างทั่วไป
องค์ภควันต์นั้นไซร้ ประทับแห่งใด
ก็เข้าไปถึงที่นั้น ครั้นเข้าใกล้แล้วจึ่งพลัน ถวายอภิวันท์
แด่องค์สมเด็จทศพล แล้วยืนที่ควรดำกล เสงี่ยมเจียมตน
แสดงความเคารพนบศีร์
ข้อความข้างต้นเป็นบทประพันธ์ที่มีถ้อยคำเรียบง่าย แต่สามารถบรรยายให้เห็นถึงมหิทธานุภาพของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ยิ่งใหญ่กว่าสิ่งใด แต่ว่าเทวดาซึ่งมีฤทธิ์และมีรัศมีเปล่งประกายไปทั่วเชตวันมหาวิหาร ก็ยังถวายอภิวันท์แด่สมเด็จทศพลหรือพระพุทธเจ้าด้วยความเสงี่ยมเจียมตน

คุณค่าด้านสังคม

มงคลสูตรคำฉันท์ เป็นวรรณคดีที่มีมาจากมงคลสูตรซึ่งเป็นคำสอนในทางพระพุทธศาสนาที่ทุกคนโดยเฉพาะพุทธศาสนิกชน เมื่อได้นำไปปฏิบัติ ย่อมจะทำให้ชีวิตประสบกับมงคลหรือความสุขอย่างแท้จริง แนวทางต่างๆเน้นที่การนำไปปฏิบัติให้บังเกิดผลเป็นรูปธรรมด้วยตนเองเป็นสำคัญ นอกจากนี้หากทุกคนได้ยึดถือเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตอย่างเหมาะสม ย่อมส่งผลให้สังคมเจริญก้าวหน้าตามไปด้วย
ความเป็นมา เป็ฯบทพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว มีเนืือหาว่าด้วย มงคล 38 อันเป็นพระสูตร หนึ่งในพระไตรปิฏก พระสุตตันัปิฏก ขุททกนิกาย หมวดขุททกปาฐะ คำว่ามงคล หมายถง เหตุแห่งความเจริญก้าวหน้า และ สูตร หมายถึง คำสอนในพระพุทธศาสนา มงคลสูตร จึงหมายความว่า พระธรรมหรือคำสอน ในพระพุทธศาสนาที่จะนำมาซึ่งความสุขและความเจริญก้าวหน้า
. การไม่คบคนพาล
. การคบบัญฑิต
. การบูชาบุคคลที่ควรบูชา
. การอยู่ในถิ่นอันสมควร
. เคยทำบุญมาก่อน
. การตั้งตนชอบ
. ความเป็นพหูสูต
. การรอบรู้ในศิลปะ
. มีวินัยที่ดี
๑๐.กล่าววาจาอันเป็นสุภาษิต
๑๑.การบำรุงบิดามารดา
๑๒.การสงเคราะห์บุตร
๑๓.การสงเคราะห์ภรรยา
๑๔.ทำงานไม่ให้คั่งค้าง
๑๕.การให้ทาน
๑๖.การประพฤติธรรม
๑๗.การสงเคราะห์ญาติ
๑๘.ทำงานที่ไม่มีโทษ
๑๙.ละเว้นจากบาป
๒๐.สำรวมจากการดื่มน้ำเมา
๒๑.ไม่ประมาทในธรรมทั้งหลาย
๒๒.มีความเคารพ
๒๓.มีความถ่อมตน
๒๔.มีความสันโดษ
๒๕.มีความกตัญญู
๒๖.การฟังธรรมตามกาล
๒๗.มีความอดทน
๒๘.เป็นผู้ว่าง่าย
๒๙.การได้เห็นสมณะ
๓๐.การสนทนาธรรมตามกาล
๓๑.การบำเพ็ญตบะ
๓๒.การประพฤติพรหมจรรย์
๓๓.การเห็นอริยสัจ
๓๔.การทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน
๓๕.มีจิตไม่หวั่นไหวในโลกธรรม
๓๖.มีจิตไม่เศร้าโศก
๓๗.มีจิตปราศจากกิเลส
๓๘.มีจิตเกษม
เนื้อเรื่อง
มงคลสูตรคำฉันท์
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺสม สมฺพุทธฺสฺส
ต้นมงคลสูตร
(
) ยญฺจ ทฺวาทส วสฺสานิ จินฺตยิ สุ สเทวกา
สิบสองฉนำเหล่า นรอีกสุเทวา
รวมกันและตริหา สิริมังคลาใด
(
) จิรสฺสํ จินฺตยนฺตาปิ เนว ชานิ สุ มฺงคลํ
จกฺกวาฬสหสฺเสสฺ ทสสฺ เยน ตตฺตกํ
กาลํ โกลาหลํ ชาตํ ยาว พฺรหฺมนิเวสนา
เทวามนุษย์ทั่ว พหุภพประเทศใน หมื่นจักรวาลได้ ดำริสิ้นจิรังกาล
แล้วยังบ่รู้มง- คละสมมโนมาลย์
ด้วยกาละล่วงนาน บ่มิได้ประสงค์สม
ได้เกิดซึ่งโกลา- หละยิ่งมโหดม
ก้องถึงณชั้นพรหม ธสถิตสะเทือนไป
(
) ยํ โลกนาโถ เทเสสิ
องค์โลกนาถเทศน์ วรมังคลาใด
(
) สพฺพปาปวินาสนํ ยังปาปะปวงให้ ทุษะเสื่อมวินาศลง
(
) ยํ สุตฺวา สพฺพทุกฺเขหิ มุจฺจนฺตาสงฺขิยา นรา
ชนหลายบพึงนับ ผิสดับสุมงคล
ใดแล้วและรอดพ้น พหุทุกขะยายี
(
) เอวมาทิคุณูเปตํ มงฺคลนฺตมฺภณาม เส.
เราจะกล่าวมง- คละอันประเสริฐที่
กอบด้วยคุณามี วรอัตถะเฉิดเฉลา มงคลสูตร
(
) เอวมฺเม สุตํ องค์พระอานนท่ทานเล่าว่า ว่าข้าพเจ้า
ได้ฟังมาแล้วดังนี้
(
) เอกํ สมยํ ภควา สมัยหนึ่งพระผู้มี พระภาคชินสีห์
ผู้โลกนาถจอมธรรม์
สาวตฺถิยํ วิหรติ เชตวเน อนาถปิณฺฑิกสฺส อาราเม.ประทับ เชตวัน วิหาระอัน อนาถบิณฑิกไซร้
จัดสร้างอย่างดีที่ใน สาวัตถีให้ เป็นที่สถิตสุขา
(
) อถ โข อญฺญตฺรา เทวตา
ครั้งนั้นแลเมวดา องค์หนึ่งมหา นุภาพมหิทธิ์ฤทธี
(
) อภิกฺกนฺตาย รตฺติยา อภิกฺกนฺตวณฺณา
ล่วงประถมยามราตรี เธอเปล่งรัศมี อันเรืองระยับจับเนตร
(
) เกวลกปฺปํ เชตวนํ โอภาเสตตฺวา
แสงกายเธอปลั่งยังเขต สวนแห่งเจ้าเชต
สว่างกระจ่างทั่วไป
(
) เยน ภควา เนตุปสงฺกมิ

องค์พระภควันต์นั้นไซร้ ประทับแห่งใด
ก็เข้าไปถึงทั่น้น
(
) อุปสงฺกมิตฺวา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา ครั้นเข้าใกล้แล้วจึ่งพลัน ถวายอภิวันท์ แด่องค์สมเด็จทศพล
(
) เอกมนฺตํ อฏฺฐาสิ. แล้วยืนที่ควรดำกล เสงี่ยมเจียมตน แสดงเคารพนบศีร์
(
๑๐) เอกมนฺตํ ฐิตาโข สา เทวตา เมื่อเทวดายืนดี สมควร ที่ ข้างหนึ่งดังกล่าวแล้วนั้น
(
๑๑) ภควนฺตํ คาถาย อชฺฌภาสิฯ
จึ่งได้ทูลถามภควันต์ ด้วยถ้อยประพันธ์ เป็นคาถาบรรจงฯ พหู เทวา มนุสฺสา มงฺคลานิ อจินฺตยํ
อากงฺขมานา โสตฺถานํ พฺรูหิ มงฺคลมุตฺตมํฯ
เทพอีกมนุษย์หวัง คติโสตถิจำนง
โปรดเทศนามง- คละเอกอุดมดีฯ
(
ฝ่ายองค์สมเด็จพระชินสีห์ ตรัสตอบวาที ด้วยพระคาถาไพรจิตร)

. อวเสนา พาลานํ ปณํฑิตานญฺจ เสวนา
ปูชา ปูชะนียานํ เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ
หนึ่งคือบ่คบพาล เพราะจะพาประพฤติผิด
หนึ่งคบกะบัณฑิต เพราะจะพาประสบผล
หนึ่งกราบและบูชา อภิบูชนีย์ชน ข้อนี้แหละมงคล อดิเรกอึดมดี . ปฏิรูปเทสวาโส ปุพฺเพ กตปุญฺญตา
อตฺตสมฺมาปณิธิ เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ
ความอยู่ประเทศซึ่ง เหมาะและควรจะสุขี
อีกบุญญะการที่ อดีตะมาดล
อีกหมั่นประพฤติควร สภาวะแห่งตน ข้อนี้แหละมงคล อดิเรกอุดมดี . พาหุสจฺจญญฺจ สิปฺปญฺจ วินโย สุสิกฺขิโต
สุภาสิตา ยา วาจา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ
ความได้สดับมาก และกำหนดสุวาที อีกศิลปะศาสตร์มี จะประกอบมนุญการ
อีกหนึ่งวินัยอัน นรเรียนและเชี่ยวชาญ
อีกคำเพราะบรรสาน ฤดิแห่งประชาชาน
ทั้งสี่ประการล้วน จะประสิทธิ์มนุญผล
ข้อนี้แหละมงคล อดิเรกอุดมดี . มาตาปิตุอุปฏฺฐานํ ปุตฺตทารสฺส สงฺคโห
อนากุลา กมฺมนฺตา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ
บำรุงบิดามา- ตุระด้วยหทัยปรีย์
หากลูกและเมียมี ก็ถนอมประหนึ่งตน การงานกระทำไป บ่มิยุ่งและสับสน ข้อนี้แหละมงคล อดิเรกอุดมดี . ทานญฺจ ธมฺมจริยา ญาตกานญฺจ สงฺคโห อนวชฺชานิ กมฺมานิ เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ
ให้ทาน กาลควร และประพฤติสุธรรมศรี อีกสงเคราะห์ญาติที่ ปฏิบัติบำเรอตน
กอบกรรมะอันไร้ ทุษะกลั่วและมัวมล
ข้อนี้แหละมงคล อดิเรกอุดมดี
. อารตี วิรตี ปาปา มชฺชปานา สญฺญโม
อปฺปมาโท ธมฺเมสุ เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ
ความงดประพฤติบาป อกุศลบ่ให้มี
สำรวมวรินทรีย์ และสุราบ่เมามล
ความไม่ประมาทใน พหุธรรมะโกศล
ข้อนี้แหละมงคล อดิเรกอุดมดี
. คารโว นิวาโต สนฺตุฏฐี กตญฺญุตา
กาเลน ธมฺมสฺสวนํ เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ
เคารพ ผู้ควร จะประณตและนอบศีร์
อีหนึ่งมิได้มี จะกระด้างและจองหอง ยินดี ของตน บ่มิโลภทะยานปอง
อีกรู้คณาของ นรผู้ประคองตน ฟังธรรมะโดยกา- ละเจริญคุณานนท์
ข้อนี้แหละมงคล อดิเรกอุดมดี
. ขนฺตี โสวจสฺสตา สมณานญฺจ ทสฺสนํ
กาเลน ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ
มีจิตตะอดทน และสถิต ขันตี
อีหนึ่งบ่พึงมี ฤดิดื้อทะนงหาญ
หนึ่งเห็นคณาเลิศ สมณาวราจารย์
กล่าวธรมมะโดยกาล วรกิจจะโกศล
ทั้งสี่ประการล้วน จะประสิทธิ์มนุญผล
ข้อนี้แหละมงคล อดิเรกอุดมดี
. ตโป พฺรหฺมจริยญฺ อริยสจฺจานทสฺสนํ
นิพฺพานสจฺฉิกิริยา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ
เพียรเผากิเลสสร้าง มละโทษะยายี
อีกนึ่งประพฤติดี ดุจะพรหมพิสุทธิ์สรรพ์
เห็นแจ้ง สี่องค์ พระอรียสัจอัน
อาจนำมนุษย์ผัน ติระข้ามทะเลวน
อีกทำพระนิพพา- นะประจักษะแก่ตน
ข้อนี้แหละมงคล อดิเรกอุดมดี
๑๐. ผุฏฐฺสฺส โลกธมฺเมหิ จิตฺตํ ยสฺส กมฺปติ
อโสกํ วิรชํ เขมํ เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ
จิตใครผิต้องได้ วรโลกะธรรมศรี
แล้วย่อมบ่มิพึงมี จะประหวั่นฤกังวล
ไร้โศกธุลีสูญ และสบายบ่มัวมล
ข้อนี้แหละมงคล อดิเรกอุดมดี ๑๑. เอตาทิสนิ กตฺวาน สพฺพตฺถมปราชิตา
สพฺพตถ โสตฺถํ คจฺฉนฺติ ตนฺเตสํ มงฺคลมุตฺตมนฺติ
เทวามนุษย์ทำ วรมงคลาฉะนี้
เป็นผู้ประเสริฐที่ บ่มิแพ้ แห่งหน
ย่อมถึงสวัสดี สิริทุกประการดล
ข้อนี้แหละมงคล อดิเรกอุดมดี
คำศัพท์ ความหมาย
.จิรังกาล เวลาช้านาน
. จำนง ประสงค์ มุ่งหวัง ตั้งใจ
. ฉนำ ปี
. ทุษะ คือ โทษ หมายถึงความไม่ดี ความชั่ว
...
. ปาปะ คือ บาป หมายถึงความชั่ว ความร้าย กรรมชั่ว อกุศลกรรมที่ส่งให้ถึงความเดือดร้อน สิ่งที่ทำให้ใจตกสู่ที่ชั่ว คือ ทำให้เลวลง ให้เสื่อมลง
. ขุททกนิกาย ชื่อนิกายหนึ่งใน นิกายของพระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เป็นหมวดพระธรรมขันธ์หรือพระสูตรเล็กน้อยหรือย่อยๆ
. ขุททกปาฐะ บทสวดหรือบทสวดสั้นๆ แต่ละบทล้วนเป็นธรรมที่เป็นเบื้องต้นแห่งการถึงธรรมขั้นสูงข้นไป หรือเป็นธรรมที่เป็นไปเพื่อความเจริญโดยส่วนเดียวมีทั้งหมด บท .ดำกล ตั้งใว้ ตั้งอยู่
.พระสูตร พระธรรมเทศนาหรือธรรมกถาเรื่องหนึ่งๆ ในพระสุตตันตปิฎก
๑๐. ภควันต์ พระนานของพระพุทธเจ้า แปลว่า เป็นผู้มีโชค คือหวังพระโพธิญาณก็ได้สมหวัง ประกาศพระศาสนาก็ชักจูงผู้คนให้บรรลุธรรมสมปรารถนามีผู้ที่คิดร้ายก็ไม่อาจทำร้ายได้ ๑๑.มนุญ เป็นที่พอใจ
๑๒.มโนมาลย์ ใจ
๑๓.มหิทธิ์ มีฤทธิ์มาก
๑๔.มโหดม มากมาย ยิ่งใหญ่ สูงสุด
๑๕.วรอัตถะ เนื้อความอันประเสริฐยอดเยี่ยม
๑๖.ยายี เบียดเบียน รบกวน
๑๗. โลกนาถ พระนามหนึ่งของพระพุทธเจ้า แปลว่า ผู้เป็นที่พึ่งของโลก
๑๘.ไพจิตร งาม
๑๙.โสตถิ ความสวัสดี ความเจริญรุ่งเรือง
๒๐.อดิเรก พิเศษดูเพิ่มเติม